อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล
อุปกรณ์ที่นิยมใช้เก็บข้อมูลหรือคำสั่งต่าง ๆ มี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ ฮาร์ดดิสก์ ( hard disk ) และแผ่นบันทึกข้อมูล ฮาร์ดดิสก์มีลักษณะเป็นวัสดุแข็ง มักจะติดตั้งอยู่ในเครื่องขับ ส่วนแผ่นบันทึกข้อมูล มีลักษณะเป็นแผ่นแบน ๆ อ่อนจนโค้งงอได้ ส่วนใหญ่มีขนาด 3.5 นิ้ว มีความจุข้อมูลตั้งแต่ 360 กิโลไบต์ ถึง 2.88 เมกะไบต์ สามารถถอดออกจากตัวเครื่องขับแผ่นบันทึกข้อมูล เนื่องจากฮาร์ดดิสก์มีกลไกการทำงานที่ละเอียดกว่า จึงทำให้มีความจุข้อมูลได้มากกว่าแผ่นบันทึก มีความเร็วในการอ่านหรือบันทึกข้อมูลเร็วกว่าแผ่นบันทึกมาก
นอกจากนี้ยังมีซีดีรอม ( CD-ROM ) ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับแผ่นบันทึกเสียงเพลง การอ่านข้อมูลทำโดยการใช้แสงเลเซอร์ขนาดเล็กลงมากส่องลงไปบนช่องสัญญาณแล้วแปลงเป็นรหัส ดิจิทัลซีดีรอมมีความสามารถจุข้อมูลได้มากกว่าแผ่นบันทึก
สถาบันฮาร์ดดิสค์ไดรฟ์ รัฐบาลไทย ให้การสนับสนุน วิทยาลัยร่วมด้านเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลและการประยุกต์ใช้งาน (สจล) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยร่วมเฉพาะทางด้านส่วนประกอบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (ม.ขอนแก่น) ศูนย์วิจัยร่วมเฉพาะทางด้านการผลิตขั้นสูง (ฟีโบ้¬-มจธ) และภาคอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (เวสต์เทอร์นดิจิตอล ซีเกทเทคโนโลยี ฮิตาชิ และ โตชิบา) ในฐานะกลุ่มผู้ผลิตฮาร์ดดิสค์ใหญ่ที่สุดของโลก จัดงาน HDD Expo 2010 ครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2553 ที่ไบเทคบางนา มีการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ Data Storage Technology Conference ครั้งที่ 3 (DST-CON 2010) เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่ผลงานวิชาการและวิจัยด้านฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูล กิจกรรมสร้างเครือข่ายวิชาการและวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม ตามยุทธศาสตร์ของภาครัฐในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาบุคลากร และถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภาคการผลิตและส่งออกของอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ประเทศให้ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการผลงาน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่สนใจทั่วไปได้เห็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และการบันทึกข้อมูล กิจกรรมส่วนต่างๆ มีดังต่อไปนี้ครับ
- กิจกรรมประชุมวิชาการนานาชาติ DST-CON 2010 เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทาง วิชาการ จากทั้งภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม - กิจกรรมส่งเสริมการลงทุน ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) - กิจกรรมการแสดงของผู้ผลิต และการเจรจาธุรกิจ แสดงเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ใหม่ และเปิดขยายช่องทางและ โอกาสทางการตลาดให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้มีโอกาสพบปะเจรจากับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โดย BOI ร่วมประสาน - กิจกรรมแสดงสินค้า จัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ทางด้านเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูล หรือ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ - กิจกรรมตลาดแรงงาน จัดรับสมัครงานโดยภาคอุตสาหกรรม หรือวิสาหกิจ หรือธุรกิจอื่นที่สนใจ - กิจกรรมประกวดผลงาน สิ่งประดิษฐ์ของนักศึกษา
ในปี พ.ศ. 2548 ที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ทั้งที่สำเร็จรูปและที่เป็นชิ้นส่วนได้สูงถึง 415,711 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 29 ของการส่งออกสินค้าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 10 ของการส่งออกโดยรวมของทั้งประเทศ นอกจากนั้นในปีเดียวกันประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตและส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อันดับ 1 ของโลกเป็นปีแรกโดยมีส่วนแบ่งถึงร้อยละ 42 ของตลาดโลก การที่การผลิตและส่งออกจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์รายใหญ่ของโลกถึง 4 บริษัท คือ Seagate, Hitachi Global Storage Technology (HGST), Western Digital (WD), และ Fujitsu/Toshiba ได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะภายหลังรัฐบาลประกาศให้มีการส่งเสริมการลงทุนเป็นการเฉพาะสำหรับกิจการประกอบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2547 บริษัทเหล่านี้ต่างขยายกำลังการผลิตจนทำให้ประเทศไทยถูกจัดว่าเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่สำคัญของโลกอีกประเทศหนึ่ง นอกเหนือจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน
อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ไม่เพียงก่อให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศและสร้างรายได้แก่ประเทศในฐานะของสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศถึง100,000 อัตรา และสร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อีกจำนวนมาก
การผลิต และการส่งออกของอุตสาหกรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ของไทย
ในเอกสารที่ผมได้นำเรียนทีมงานของ พณฯ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เพื่อของบประมาณมาช่วยสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสค์ ผมเสนอว่าการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยต้องชนะแรงจูงใจจากรัฐบาลสิงคโปร์และมาเลเซียจนทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงลงทุนอยู่ในประเทศไทย และประเทศไทยสามารถดึงสัดส่วนมูลค่า (Value Added) ให้ตกอยู่ในกับผู้ประกอบการไทยได้มากที่สุด จากการวิเคราะห์ถึงความสามารถและศักยภาพของคลัสเตอร์ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในประเทศไทย ทั้งในด้านจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรค และโอกาส รวมทั้งเป้าหมายของการพัฒนาคลัสเตอร์ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ พบว่ายุทธศาสตร์สำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถครองความเป็นอันดับหนึ่งในด้านการผลิตของโลกไปจนถึงปี 2553 (5 ปี) โดยการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระยะสั้นและระยะกลางนั้น ในส่วนที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรเร่งดำเนินการ ได้แก่ กลยุทธศาสตร์สำคัญ 6 กลยุทธ์ที่ภาครัฐและภาคเอกชนควรช่วยกันดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและลดจุดอ่อนของคลัสเตอร์ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ของประเทศไทย มีดังนี้
กลยุทธ์ที่ 1: การรักษาการลงทุนเดิมและขยายฐานการลงทุนในอนาคตการรักษาผู้ประกอบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์รายเดิมที่มีอยู่จำเป็นต้องมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนระยะยาว เช่น นโยบายสนับสนุนสำหรับผู้ที่ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หรือผู้ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการใช้นโยบายการส่งเสริมการลงทุนและการสร้างบรรยากาศในการลงทุน เพื่อดึงผู้ประกอบฮาร์ดดิสก์รายใหม่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยกลยุทธ์ที่ 2: พัฒนาแรงงานไทยให้มีจำนวนมากขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้นในปัจจุบัน บุคลากรในด้านการผลิตของไทยที่มีทักษะสูงยังมีปริมาณไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตที่จะขยายตัวสูงขึ้นในอนาคต ถึงแม้ทางบริษัทจะมีการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอให้กับพนักงานก็ยังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการบุคลากรที่มีทักษะสูงได้ ดังนั้น ระบบการศึกษาทั้งในระดับมหาวิทยาลัยและระดับอาชีวศึกษา จำเป็นจะต้องมีหลักสูตรการผลิตบุคลากรในด้านการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่จะขยายตัวในอนาคตกลยุทธ์ที่ 3: พัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุนและชิ้นส่วนที่เข้มแข็งในประเทศไทยโครงสร้างของอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในประเทศไทยยังเป็นการกระจุกตัวของบริษัทต่างชาติ และเชื่อมโยงกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในภูมิภาคมากกว่ากับผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น งานโลหะ งานแม่พิมพ์ งานพลาสติก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ clean room, metal finishing, heat treatment, equipment repair ซึ่งยังไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับการผลิตอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและยกระดับความสามารถทางธุรกิจและเทคโนโลยีของผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้สามารถทำงานร่วมกับบริษัทต่างชาติที่อยู่ในประเทศและเป็นที่ยอมรับให้ได้ กลยุทธ์ที่ 4: พัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมด้านการผลิต รวมทั้งเทคโนโลยีเกี่ยวข้องการบริการและสนับสนุนการผลิต การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ HDD ในอนาคต ทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องยกระดับเทคโนโลยีกระบวนการผลิตในประเทศไทย ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการผลิตที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต เช่น เทคโนโลยีเครื่องจักรกลอัตโนมัติ (automation) การตรวจวัดความแม่นยำ การกำจัดสิ่งสกปรกและ ESD และเทคโนโลยีด้านการออกแบบทั้งในส่วน process design และ product design จึงเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาขึ้นมาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ผมขอยกตัวอย่างโครงการวิจัยใน ปีงบประมาณ 2552 มีแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น 1.โครงการการจัดตั้งห้องบริการทดสอบ ESD ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่าง WD และ NECTEC ในการจัดตั้งศูนย์ทดสอบไฟฟ้าสถิตย์เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการทดสอบ ESD โดยกลุ่มเป้าหมายมีทั้งนักวิจัยจากสวทช.(MTEC,NECTEC) และนักวิจัยภายนอก(ม.เทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) เพื่อใช้ทดสอบในโครงการวิจัยพัฒนา (RDE) และบริษัท/ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และ 2.โครงการสนับสนุนการผลิตเครื่องจักรAutomation ซึ่งเป็นการทำโครงการวิจัยพัฒนาร่วมกับ HGST และ มหาวิทยาลัยสุรนารี เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEsไทยสามารถผลิตและเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิต HDDได้ เป็นการร่วมลงทุนเพื่อทำการพัฒนาต้นแบบจาก HGST และ HDDI ร่วมลงทเพื่อพัฒนาและสนับสนุนการผลิตHDD (Jig fixture,Indirect Material and Automation) นอกจากนี้ HDDI ยังร่วมมือกับ WD ให้โอกาส SME ไทย 5 บริษัทให้ออกแบบและขบวนการผลิต HAS โดยสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ) เป็นหน่วยงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยีกลยุทธ์ที่ 5: สร้างตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ภายในประเทศในการสร้างตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในประเทศจำเป็นต้องทำให้เกิด forward linkage ไปยังอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น อุตสาหกรรม ICT และ consumer electronics โดยอาศัยมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงดังกล่าว กลยุทธ์ที่ 6: ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ (logistics)การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเป็นช่องทางการไหลของข้อมูลสารสนเทศ และพัฒนากระบวนการในการเชื่อมต่อการโอนถ่ายข้อมูลและสารสนเทศระหว่างสมาชิกในโซ่อุปทานด้วยกัน รวมทั้งพัฒนามาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลสารสนเทศในมุมมองของกระบวนการธุรกิจซึ่งจะทำให้เกิดมาตรฐานของการเชื่อมต่อ เพื่อนำมาใช้พัฒนาระบบลอจิสติกส์ (logistics) เพื่อสนับสนุนการจัดการด้านการผลิตและการจัดส่งสินค้า รวมทั้งใช้ในขั้นตอนทางภาษี และศุลกากร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น